Progressive Web App การทำเว็บให้คล้ายแอป และใช้งานออฟไลน์ได้

14 มิถุนายน 2566
Progressive Web App การทำเว็บให้คล้ายแอป และใช้งานออฟไลน์ได้

Progressive Web Apps (PWA) ถูกเสนอแนะครั้งแรกโดย Alex Russell และ Frances Berriman ในปี 2015 ในบทความ "Progressive Web Apps: Escaping Tabs Without Losing Our Soul" โดยต้นแบบของ PWA เกิดจากการนำเสนอเทคโนโลยีเว็บที่ให้ความสามารถในการทำงานออฟไลน์และการเข้าถึงเนื้อหาอย่างราบรื่นในรูปแบบแอปพลิเคชัน และสามารถติดตั้งได้บนอุปกรณ์ผู้ใช้เหมือนแอปพลิเคชันแบบ Native บนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา PWA ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในวงกว้าง โดยส่วนใหญ่นักพัฒนาเว็บไซต์ได้นำเทคโนโลยี PWA มาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ของพวกเขา ซึ่งเราสามารถพัฒนา PWA โดยใช้ภาษา HTML, CSS, และ JavaScript เหมือนกับการพัฒนาเว็บไซต์ธรรมดา โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น Service Worker, Web App Manifest, และ Cache API เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานแบบออฟไลน์และประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน PWA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Progressive Web Apps คืออะไร

Progressive Web Application (PWA) คือเว็บไซต์ที่ออกแบบให้มีความสามารถที่คล้ายกับแอปพลิเคชัน โดยสามารถใช้งานได้ผ่านเว็บบราวเซอร์ทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมบนอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน และสามารถเข้าถึงได้ผ่านทุกแพลตฟอร์ม (เช่น เดสก์ท็อป แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน) โดยมีประสิทธิภาพในการทำงานและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ใกล้เคียงกับแอปพลิเคชันที่ติดตั้งในอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน

PWA ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีในเว็บบราวเซอร์ด้วยความสามารถที่คล้ายกับแอปพลิเคชัน ซึ่งมีลักษณะเด่นดังนี้

  • การทำงานออฟไลน์ : ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและใช้งานแอปได้ในสภาวะออฟไลน์หรือเมื่อไม่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ด้วยการเก็บข้อมูลในแคช (Cache) และการใช้ Service Worker เพื่อจัดการคำขอและการเก็บข้อมูลไว้ในอุปกรณ์
  • การเรียกใช้งานง่าย : PWA สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บบราวเซอร์โดยไม่ต้องดาวน์โหลดหรือติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม จะอัปเดตอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดใช้งานในอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานจะได้รับการอัปเดตล่าสุดของแอปพลิเคชันเมื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง
  • การติดต่อสื่อสาร : PWA สามารถส่งการแจ้งเตือน และทำงานร่วมกับอุปกรณ์ในระบบได้เหมือนแอปพลิเคชันแบบ Native
  • การทำงานเร็ว : PWA ใช้เทคโนโลยีเว็บที่ทันสมัยเพื่อให้การโหลดและการตอบสนองรวดเร็ว ซึ่งช่วยลดเวลาโหลดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของแอป
  • การแสดงผล : PWA สามารถปรับแต่งรูปแบบการแสดงผลตามขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ที่ผู้ใช้งานใช้งานอยู่ ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานที่ดีทั้งในเดสก์ท็อปและอุปกรณ์พกพา

PWA เป็นแนวคิดที่ก้าวข้ามระหว่างเว็บแอปพลิเคชันและแอปพลิเคชันมือถือ ช่วยให้ผู้พัฒนาสามารถสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ได้อย่างง่ายและเหมือนแอปพลิเคชัน Native โดยใช้เทคโนโลยีเว็บที่ทันสมัยในการพัฒนา

วิธีสร้าง Progressive Web App สำหรับมือใหม่

นี่คือตัวอย่างของโค้ดที่ละเอียดเพื่อสร้าง Progressive Web App (PWA) แบบง่ายๆ

1. สร้างไฟล์ index.html สำหรับเป็นหน้าตัวอย่างของเว็บแอปพลิเคชัน โดยเพิ่ม Manifest เป็นไฟล์ manifest.json และโหลด service-worker.js

// index.html
<!DOCTYPE html>
<html>
<head>
  <meta charset="UTF-8">
  <title>My Progressive Web App</title>
  <link rel="manifest" href="/manifest.json">
  <link rel="stylesheet" href="/style.css">
</head>
<body>
  <!-- เนื้อหาของเว็บแอปพลิเคชัน -->
  <h1>Welcome to My PWA!</h1>
  <p>This is a simple Progressive Web App.</p>

  <script type="text/javascript" src="/script.js"></script>

  <!-- ส่วนการโหลด service worker -->
  <script>
    if ('serviceWorker' in navigator) {
      navigator.serviceWorker.register('/service-worker.js')
        .then(function(registration) {
          console.log('Service Worker registered with scope:', registration.scope);
        })
        .catch(function(error) {
          console.error('Service Worker registration failed:', error);
        });
    }
  </script>
</body>
</html>

2. สร้างไฟล์ manifest.json เพื่อกำหนดคุณสมบัติของแอปพลิเคชัน PWA แก้ไขค่าที่ต้องการให้เหมาะสมตามความต้องการของแอปพลิเคชันของคุณ รวมถึงชื่อแอปพลิเคชัน ชื่อย่อ ไอคอน สีพื้นหลัง และอื่นๆ

// manifest.json
{
  "name": "ชื่อแอปพลิเคชัน",
  "short_name": "ชื่อแอปย่อ",
  "start_url": "/",
  "display": "standalone",
  "background_color": "#ffffff",
  "theme_color": "#000000",
  "icons": [
    {
      "src": "/icon.png",
      "sizes": "192x192",
      "type": "image/png"
    }
  ]
}

3. สร้างไฟล์ service-worker.js เพื่อทำหน้าที่เป็น Service Worker สำหรับเว็บแอปพลิเคชัน

// service-worker.js
const cacheName = 'my-pwa-cache';

const cacheUrls = [
  '/',
  '/index.html',
  '/styles.css',
  '/script.js',
  '/icon.png'
  // เพิ่มไฟล์ที่ต้องการเก็บแคช
];

// เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ Service Worker ถูกติดตั้ง
self.addEventListener('install', event => {
  event.waitUntil(
    // เปิดแคชใหม่
    caches.open(cacheName)
      .then(cache => {
        // เพิ่ม URL ในแคช
        return cache.addAll(cacheUrls);
      })
  );
});

// เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ Service Worker ถูก activate
self.addEventListener('activate', function(event) {
  event.waitUntil(
    caches.keys()
      .then(function(cacheNames) {
        return Promise.all(
          cacheNames.filter(function(cacheName) {
            // ตรวจสอบแคชที่ต้องการเก็บรักษา
            return cacheName !== CACHE_NAME;
          }).map(function(cacheName) {
            // ลบแคชที่ไม่ใช้แล้ว
            return caches.delete(cacheName);
          })
        );
      })
  );
});

// เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการร้องขอแหล่งข้อมูล
self.addEventListener('fetch', event => {
  event.respondWith(
    caches.match(event.request)
      .then(response => {
        if (response) {
          // พบแคชในหน่วยความจำแล้ว ส่งกลับ response
          return response;
        }

        // ไม่พบแคชในหน่วยความจำ ดำเนินการ fetch จากเครือข่าย
        return fetch(event.request);
      })
  );
});

4. เปิดเว็บแอปพลิเคชันในเบราว์เซอร์และตรวจสอบว่าการทำงานออฟไลน์ได้อย่างถูกต้อง ถือว่าเริ่มต้นได้ดี

อย่างไรก็ตาม การทำเว็บแบบ Progressive Web Apps คุณสามารถปรับแต่งและเพิ่มเติมโค้ดเพื่อตรงกับความต้องการของแอปพลิเคชันของคุณได้ตามต้องการ ขึ้นอยู่กับฟังก์ชันและฟีเจอร์ที่คุณต้องการให้ Service Worker ทำงานได้ เช่น ใช้ Cache API หรือ IndexedDB เพื่อเก็บข้อมูลและทำงานเมื่อออฟไลน์ อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้เพื่อการทำงานแบบออฟไลน์ เป็นต้น

สำหรับวิธีการทำงานและตัวอย่างเพิ่มเติม คุณสามารถตรวจสอบเอกสารและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ของ Google Developers เกี่ยวกับการสร้าง PWA หรือจากแหล่งเรียนรู้อื่นๆได้เช่นกัน

Progressive Web App เหมาะกับเว็บไซต์แบบไหน

1. เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและความสำคัญต่อผู้ใช้

PWA เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการให้ผู้ใช้เข้าถึงเนื้อหาและข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ข่าวสาร เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ เว็บไซต์บริการออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์บันทึกบล็อก

2. เว็บแอปพลิเคชัน

หากคุณต้องการพัฒนาแอปพลิเคชันเว็บที่มีประสบการณ์การใช้งานคล้ายแอปพลิเคชัน แต่ไม่ต้องการทำการติดตั้งแอปพลิเคชันในอุปกรณ์ผู้ใช้ เช่น แอปพลิเคชันสำหรับการจัดการงาน เกมเว็บ เครื่องมือการเรียนรู้ออนไลน์ และอื่นๆ PWA จะเป็นทางเลือกที่ดี

3. เว็บไซต์ที่ต้องการการทำงานแบบออฟไลน์

PWA มีความสามารถในการทำงานแบบออฟไลน์โดยมีการแคชข้อมูลบนอุปกรณ์ ดังนั้น ถ้าคุณต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาหรือฟังก์ชันของเว็บไซต์ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเสมอ PWA จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

4. เว็บไซต์ที่ต้องการประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีบนอุปกรณ์มือถือ

PWA ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้ทั้งบนเว็บบราวเซอร์และอุปกรณ์มือถือ ซึ่งเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานที่ดีและคล้ายแอปพลิเคชันบนมือถือ

5. เว็บไซต์ที่ต้องการแพลตฟอร์มที่กว้างขวาง

PWA สามารถรองรับและทำงานได้บนหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น iOS, Android, Windows, หรือเวอร์ชันเว็บบราวเซอร์ต่างๆ ซึ่งทำให้สะดวกในการพัฒนาและให้บริการผู้ใช้ที่หลากหลาย

การตัดสินใจว่า PWA เหมาะสำหรับเว็บไซต์แบบไหนควรพิจารณาจากลักษณะและความต้องการของเว็บไซต์ของคุณ รวมถึงความสามารถและประสิทธิภาพที่คุณต้องการเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

สรุป

Progressive Web Apps (PWA) เป็นแนวคิดที่ทำให้เราสร้างเว็บแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพเหมือนแอปพลิเคชันบนมือถือ แต่สามารถเข้าถึงและใช้งานผ่านเว็บบราวเซอร์ได้ มันมีประโยชน์มากมายเช่นการเข้าถึงทุกที่ทุกเวลา ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี และการทำงานได้อยู่แม้ในสภาวะออฟไลน์ เราสามารถสร้าง PWA ได้อย่างง่ายดายด้วยขั้นตอนเบื้องต้นเช่นการสร้างไฟล์ Manifest และการเพิ่ม Service Worker