ความแตกต่างระหว่าง XML และ JSON ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการสื่อสารข้อมูล มาเรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้าง และการใช้งานในปัจจุบัน ซึ่งรูปแบบการสื่อสารสองแบบที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ XML (eXtensible Markup Language) และ JSON (JavaScript Object Notation) ซึ่งมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
JSON คืออะไร?
JSON ย่อมาจาก "JavaScript Object Notation" เป็นรูปแบบของข้อมูลที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ มันมักจะใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างเว็บแอปพลิเคชันและเซิร์ฟเวอร์ หรือระหว่างแอปพลิเคชันที่ต่างกันด้วยภาษาโปรแกรมที่แตกต่างกันได้
JSON ถูกสร้างขึ้นโดย Douglas Crockford ในปี 2001 เพื่อใช้เป็นวิธีการส่งข้อมูลที่เป็นมนุษย์และเครื่องอ่านได้ง่าย มันเป็นรูปแบบที่อ่านและเขียนได้โดยง่ายใน JavaScript และสามารถใช้ได้กับหลายภาษาโปรแกรมอื่นๆ ด้วย เช่น Python, Java, PHP เป็นต้น
การใช้งาน JSON เกิดขึ้นโดยการเขียนข้อมูลในรูปแบบของออบเจ็กต์ใน JavaScript โดยมีรูปแบบพื้นฐานดังนี้
{
"key1": "value1",
"key2": "value2",
"key3": ["value3A", "value3B"],
"key4": {
"key1": "Value1",
"key2": "Value2"
}
}
ในตัวอย่างข้างต้น "key" คือชื่อของข้อมูลและ "value" คือค่าของข้อมูล ข้อมูลสามารถเป็นสตริง (string), ตัวเลข (number), อาเรย์ (array), ออบเจ็กต์ (object), หรือค่าจริงเท็จ (true/false) ได้
การใช้งาน JSON นั้นมีหลายวิธี เช่น การส่งข้อมูลระหว่างเว็บเบราว์เซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ผ่าน AJAX, การจัดเก็บและส่งข้อมูลในฐานข้อมูล การสร้างและจัดเก็บไฟล์คอนฟิกแอปพลิเคชัน และการส่งข้อมูลในรูปแบบ JSON ระหว่างแอปพลิเคชันต่างๆ ได้เช่นกัน
XML คืออะไร?
XML ย่อมาจาก eXtensible Markup Language หรือภาษามาร์กอัปขยายได้ เป็นภาษาที่ใช้สำหรับแสดงโครงสร้างของข้อมูลที่เป็นข้อความ โดย XML ใช้เครื่องหมายแท็ก (tags) เพื่อกำหนดโครงสร้างของข้อมูล และสามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลได้ด้วย เช่น การกำหนดข้อมูลเป็นลำดับหรือโครงสร้างของตาราง โดย XML ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาษาที่สามารถใช้งานร่วมกันได้ระหว่างระบบที่ต่างกัน
XML เริ่มต้นมาจากการพัฒนาภาษามาร์กอัป (markup language) ในช่วงปี 1990 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สามารถแสดงโครงสร้างของข้อมูลในรูปแบบที่เป็นไปได้ทุกชนิด โดย XML ได้รับการยอมรับในการใช้งานในหลายๆ ด้าน เช่น การใช้ในการสื่อสารระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ การเขียนเว็บไซต์ การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบอื่นๆ
การใช้งาน XML มักจะเกี่ยวข้องกับการสร้างและแสดงโครงสร้างข้อมูล โดยใช้เครื่องหมายแท็ก <tag> และ </tag> เพื่อแสดงการเริ่มต้นและสิ้นสุดของข้อมูลในแต่ละส่วน นอกจากนี้ยังมีการใช้ attributes เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในแต่ละแท็ก เช่น <tag attribute="value"> และสามารถฝัง XML ภายใน XML ได้อีกด้วย เช่น การฝัง XML ใน element อีกตัวหนึ่งเพื่อสร้างโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้นได้ ดังนั้น XML เป็นเครื่องมือที่สามารถปรับใช้ได้ในการแสดงโครงสร้างข้อมูลต่างๆ ตามความต้องการของแต่ละระบบและแอปพลิเคชัน
<library> <book category="fiction"> <title>Harry Potter</title> <author>J.K. Rowling</author> </book> <book category="non-fiction"> <title>Thinking, Fast and Slow</title> <author>Daniel Kahneman</author> </book> </library>
ความแตกต่างของ XML กับ JSON
โครงสร้างข้อมูล
- JSON : มีโครงสร้างเป็นอ็อบเจ็กต์ และอาร์เรย์ เช่น
{"person": {"name": "John Doe", "age": 30}}
- XML : มีโครงสร้างที่หลากหลายและใช้แท็ก (tags) เช่น
<person><name>John Doe</name><age>30</age></person>
การอ่านและการแก้ไข
- JSON : มีการเข้าถึงข้อมูลแบบโดยตรง และสามารถแก้ไขข้อมูลได้ง่ายโดยตรง
- XML : ใช้ XPath สำหรับการค้นหาข้อมูลและ XSLT สำหรับการแปลงข้อมูล และใช้ DOM (Document Object Model) สำหรับการแก้ไขข้อมูล
ขนาดและประสิทธิภาพ
- JSON : มีขนาดไฟล์เล็กกว่า XML และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าในการส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย
- XML : มีขนาดไฟล์ใหญ่กว่า JSON และใช้ทรัพยากรมากขึ้นในการประมวลผล
ความนิยมและการใช้งานในปัจจุบัน
JSON มีความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากมีขนาดไฟล์เล็กและมีประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และมีความสามารถในการจัดการข้อมูลที่ดีกว่าในบางกรณี
สรุป
JSON และ XML มีความแตกต่างกันในโครงสร้างข้อมูล วิธีการอ่านและการใช้งาน การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับความต้องการของโปรเจกต์และการใช้งาน โดย JSON มักถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในการส่งข้อมูลระหว่างเว็บเซอร์วิสและแอปพลิเคชัน ในขณะที่ XML มักใช้ในงานที่ต้องการโครงสร้างข้อมูลซับซ้อนเช่นการแลกเปลี่ยนข้อมูลในอุตสาหกรรมหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบที่มีโครงสร้างซับซ้อนมากขึ้น